เช้าวันนี้ผมนั่งดูความเคลื่อนไหวของเพื่อน ๆ ในเฟสบุ๊คแบบเพลิน
ๆ ตามปกติ ก็เลื่อนไปเห็นข้อความของน้องเจน (รุ่นน้องป.โท) ที่มีเนื้อหาสะดุดตาว่า “สงสัยจะเนื้อคู่จะมา เจอแต่เช้าเลย ขอบคุณเพื่อนบ้านใจดีที่จับให้ น่ากลัวมาก
คืนนี้จะนอนหลับมั้ยเนี่ยะ”
ปัญหาเรื่อง “งูเข้าบ้าน”
ที่ไม่ว่างูตัวนั้นจะมีพิษหรือไม่ ก็นับได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าขนลุกมากเหตุการณ์หนึ่ง
หลังจากผมได้เห็นรูปเจ้างูตัวนั้นก็เกิดคำถามขึ้นในใจว่า ถ้าเป็นเราจะทำอย่างไร? มาถึงตอนนี้ผมอยากให้ทุกคนหลับตาลงแล้วจินตนาการตามผม “หากเวลานั้นเราอยู่บ้านคนเดียว เราสามารถทำอะไรได้บ้าง” ไม่น่าเชื่อครับหลังจากลองจิตนาการดูก็พบว่า ความรู้ที่ได้จากนักจิตวิทยาที่ชื่อ
“ลาซารัส และโฟล์คแมน” ที่ผมเกือบจะลืมทฤษฎีนี้ไปแล้ว
ได้ลอยออกมาจากคลังความรู้ที่อยู่ลึกเกือบที่สุดของสมอง เป็นความมหัศจรรย์ของสมองที่สามารถดึงเครื่องมือที่ชื่อว่า
“การคิดวิเคราะห์” ออกมาใช้เพื่อหาวิธีการรับมือต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่น่าเชื่อ
การเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์กับองค์ความรู้หรือประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้มา ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ทำให้ผมคิดทางเลือกออกมาได้
3 ทาง คือ จะสู้ จะเฉย หรือจะหนี
ลำดับต่อมาก็มาดูนิสัยของผมว่าเป็นแบบไหน แล้วจะเลือกใช้วิธีการใดในการแก้ปัญหานี้
แต่สถานการณ์งูเข้าบ้านเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและต้องตัดสินใจในทันที รับรองได้ว่างูเข้าบ้านใครการตัดสินใจของคนนั้นจะมีความยาวเป็นเสี้ยววินาทีเท่านั้น
เพราะทฤษฎีของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ไอธิบายไว้ว่า “การป้องกันตัวเองจากอันตรายเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด” (หากท่านใดไม่เชื่อลองให้งูเข้าบ้านดูสักครั้งก็ได้ครับ)
ส่วนตัวผมเองมีนิสัยไม่ชอบหนีปัญหา
และอีกอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อยู่ในบ้านเราจะให้หนีก็ไม่ได้
หรือจะให้เฉยแล้วใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับงูในบ้านก็คงไม่ดี เพราะเผลอ ๆ
จะได้เมียเป็นงู ถ้าไม่ถูกมันรัดตายสะก่อน สุดท้ายตัวเลือกสำหรับผมมีไม่เยอะ
หลังจากประเมินสถานการณ์แล้วคงต้องสู้ แต่จะสู้อย่างไรหละ ก็มีตัวเลือกเพียง 2 ข้อเท่านั้น
คือ จับเป็น หรือจับตาย คำตอบของผมที่ได้คือ “ผมไม่รู้วิธีการจับงู ผมรู้แต่วิธีการฆ่างู”
และแล้วการประเมินสถานการณ์ขั้นสุดท้ายก็เริ่มขึ้น
เมื่อเราสรุปว่า
การจับตายเป็นวิธีที่เราเลือก เราก็ต้องใช้ความคิดต่อไปอีกว่าจะใช้เครื่องมืออะไรในการฆ่างู
เช่น จะใช้ปืนหรือดาบดี หรือใช้มีดทำครัวได้ไหม
แต่ไม้ยาว ๆ ก็น่าจะปลอดภัยกว่า เมื่อการคิด วิเคราะห์ดำเนินมาถึงจุดนี้ ผมก็มีคำตอบในใจของผมแล้วหละ
แต่ผมจะขอฝากคำถามทิ้งท้ายให้กับทุกคนคิดต่อว่า “ถ้าเป็นพวกเราจะเลือกใช้อาวุธอะไรในการ
ฆ่างู ?”
หากเปรียบเทียบลูกน้องที่สร้างปัญหาให้แก่องค์กร
คือ งูที่เข้าบ้าน ก็ให้ระลึกไว้เสมอว่า ไม่ว่างูจะมีพิษหรือไม่ ก็จะสร้างความหวาดกลัวให้แก่เราผู้เป็นเจ้าของบ้าน
ลูกน้องที่มีปัญหาก็เช่นกัน ไม่ว่าพนักงานคนนั้นจะนิสัยดีหรือไม่ ก็จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการทำงาน
แล้วเราที่เป็นหัวหน้าจะมีวิธีจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร เช่น สู้กับปัญหา
โดยเรียกมาคุยมาปรับความเข้าใจกัน
แตกเป็นแตก หักเป็นหัก หรือวางเฉย
อยู่ได้ก็อยู่
อยู่ไม่ได้ก็ไป หรือหนีปัญหา หลบหน้าหลบตา
ไม่เรียกใช้งาน หรือให้ย้ายไปทำงานหน่วยงานอื่น สิ่งเหล่านี้คือ
ทักษะการบริหารและจัดปัญหาที่หัวหน้างานยุค 4.0 ต้องมี
ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับว่าเรื่องงูเข้าบ้านของน้องเจนในวันนี้จะให้ข้อคิดดี
ๆ แบบงง ๆ และสิ่งที่ผมได้มาแชร์ในวันนี้ ผมขอเรียกมันว่า “ความอัศจรรย์ของสมอง” ก็แล้วกันครับ