วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สาเหตุแห่งความเครียด ตามแนวคิดทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Sigmund Freud)

บทความโดย โกสินธุ์ อัคครุ่งเรือง
นักจิตวิทยาให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์


โกสินธุ์ อัคครุ่งเรือง
นักจิตวิทยาให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์

เมื่อมีการกล่าวถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จำเป็นต้องมีกรอบแนวความคิดเพื่อกำหนดทิศทางของเรื่องที่กำลังจะกล่าวถึง เป็นการป้องกันไม่ให้ออกนอกกรอบ หรือทิศทางที่ต้องการจนเกินไป กรอบแนวความคิดจึงเป็นความรู้ชุดหนึ่งที่ประกอบไปด้วยแนวคิดของนักวิชาการหลาย ท่าน เป็นการรวบรวมหลักการทั่ว ๆ ไป (General principle) และเป็นหลักการที่สามารถนำมาใช้อ้างอิงหรืออธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นได้ (Explanatory principle) ซึ่งองค์ความรู้ที่รวบรวมมานั้นจะกรอบแนวความคิดพื้นฐานสำหรับผู้ให้คำปรึกษานำไปใช้ในการวิเคราะห์และอธิบายพฤติกรรมหรือแนวความคิดที่เกิดขึ้นของผู้รับคำปรึกษา

แนวคิดที่สำคัญ
จิตสำนึกและจิตใต้สำนึกมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพและแสดงออกของมนุษย์ Freud เชื่อว่าพฤติกรรมทุกพฤติกรรมมีความหมาย และไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่จะมีจิตใจส่วนหนึ่งดำเนินการและสั่งการ ทำให้เกิดรูปแบบพฤติกรรมที่มีความหมายโดยเจ้าตัวไม่ตระหนัก ความหมายที่ซ่อนแฝงอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมบางพฤติกรรมมีสาเหตุมาจากประสบการณ์ชีวิตในวัยต้น  เช่น การพูดอย่างระมัดระวัง หรือการพลั้งเผลออย่างไม่รู้ตัว

          ฟรอยด์ ได้อธิบายว่าจิตใจของคนแม้จะไม่มีตัวตนให้เห็นเด่นชัด แต่ก็สามารถอธิบายและทำความเข้าใจได้ โดยกระบวนการการทำงานของจิตใจ โดยเปรียบเทียบโครงสร้างทางจิตของมนุษย์ว่ามีสภาพคล้ายภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในมหาสมุทร มีส่วนน้อยที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำเปรียบได้กับระดับจิตสำนึกควบคุม และส่วนที่อยู่ใต้ผิวน้ำซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเปรียบได้กับภาวะจิตใต้สำนึก และจิตในระดับใต้สำนึกนั้นประกอบด้วยกลไกทางจิตหลายประเภทช่น แรงจูงใจ อารมณ์ที่ถูกเก็บกด ความรู้สึกนึกคิด ความฝัน ความทรงจำ ฯลฯ ทำให้คนมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน โดยพฤติกรรมบางพฤติกรรมสามารที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ แต่อีกหลายพฤติกรรมนั้นสร้างความสับสนที่ไม่สามารถจะเข้าใจได้ เพื่อทำความเข้าใจถึงสาเหตุพฤติกรรมมนุษย์ ฟรอยด์ได้อธิบายถึงโครงสร้างบุคลิกภาพสรุปได้ดังนี้

โครงสร้างบุคลิกภาพ
โครงสร้างบุคลิกภาพตามแนวคิดของฟรอยด์ ประกอบด้วยพลัง 3 ประการ ได้แก่ Id Ego และ Super Ego  พลังทั้ง 3 มีลักษณะเฉพาะตัว แต่ก็มีอิทธิพลต่อกันและทำงานสัมพันธ์กันตลอดเวลา บุคลิกภาพของผู้ใดมีลักษณะใดขึ้นอยู่กับพลัง Id Ego และ Super Ego  ทำงานร่วมกันในลักษณะอย่างไร

1. Id หรือสัญชาติญาณ พลังงานที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด เป็นส่วนที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลา ดำเนินการโดยสัญชาตญาณธรรมชาติ โดยพื้นฐานบุคคลมีความปรารถนาให้ชีวิตมีความสุขสบาย Id จึงเป็นพลังที่ผลักดันให้บุคคลแสวงหาความสุขความพอใจ  โดยการตอบสนองความต้องการทางร่างกายอย่างปราศจากเหตุผลหรือความถูกต้องดีงาม พลัง Id จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พลังแสวงหาความสุข (Pleasure Seeking Principle)

2. Ego   เป็นพลังแห่งการรู้และเข้าใจ การรับรู้ข้อเท็จจริง การใช้เหตุผลกลั่นกรองก่อนที่จะดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมาย Ego จึงทำหน้าที่คล้ายสะพานเชื่อมที่แสวงหาวิธีการตอบสนองความต้องการ (Id) โดยไม่ขัดต่อสำนึกผิดชอบชั่วดี (Super Ego ) จนเกินไป  เช่น เมื่อหิว พลัง  Ego  ก็จะใช้เหตุผลตรึกตรองว่าจะบำบัดความหิวได้โดยวิธีใด ตามสถานภาพแวดล้อม เช่น ไปสำรวจตู้เย็นก่อน ทำอาหารเอง ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ฯลฯ  จึงมีชื่อเรียกว่า Ego  อีกอย่างว่าพลัง รู้ความจริง”  ( Resllity Principle) 

3. Super Ego เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของมาตรฐานหรือคุณค่าทางศีลธรรมจรรยา คอยควบคุม Ego ให้หาวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการสนองความต้องการ Id โดยเหนี่ยวรั้งให้ทำอะไรอยู่ในกรอบประเพณี ถูกเหตุถูกผล ให้คำนึงถึงความผิชอบชั่วดี มีคุณธรรม และสังคมเป็นใหญ่ โดยว่วนนี้จะควบคุมทั้งด้านความคิด ความรู้สึก และการกระทำ ประกอบด้วยระบบ 2 ระบบ คือ
3.1 The ego ideal คือการลอกเลียนแบบบุคคลในอุดมคติ เมื่อบุคคลมีความเชื่อว่าคนดีมีลักษณะอย่างไร หากปฏิบัติตามความเชื่อนั้นได้บุคคลก็จะรู้สึกภูมิใจ
3.2 The conscience คือการควบคุมให้บุคคลปฏิบัติตนให้อยู่ในมาตรฐานความเป็นคนดีที่ตนกำหนดไว้ หากบุคคลละเมินมาตรฐานความเป็นคนดีของตนเอง ก็จะเกิดความรู้สึกผิดหรือละอาย

จากทฤษฎีดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า บุคลิกภาพของแต่ละบุคคลมากจากความสัมพันธ์ระหว่าง Id  Ego  และSuper Ego โดย Id  เปรียบเสมือนสัญชาติญาณหรือตัณหาที่แสวงหาแต่ความพึงพอใจเพื่อมาตอบสนองต่อความต้องการของตนเอง ส่วน Super Ego เปรียบเสมือนมโนธรรมทำหน้าที่คอยเตือนหรือควบคุมไม่ให้ Ego แสดงอาการตามความเรียกร้องของสัญชาติญาณ บุคคลจะมีการแสดงออกทางพฤติกรรมตอบสนองในลักษณะใดนั้นขึ้นอยู่กับว่าพลังใดระหว่าง Id  หรือ Super Ego จะมีอำนาจต่อการตัดสินใจของ Ego มากกว่ากัน จากการทำงานที่ขัดแย้งกันของพลังทั้งสามส่วน ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องมีการปรับตัวตามสถานการณ์ที่เข้ามาอยู่ตลอดเวลา

ความวิตกกังกล (Anxiety)
ฟรอยด์ เชื่อว่า (อ้างใน กิติกร มีทรัพย์.  2554) ความหวาดกังวลเป็นเรื่องที่มนุษย์หลีกเลี่ยงไม่พ้น เพราะความปรารถนาของมนุษย์ไม่ได้รับการสนองสมใจเสมอไป หรือ Ego ไม่สามารถควบคุม Id  และ Super ego ได้อย่างสมดุลเหมาะเจาะตลอดมา ฟรอยด์แบ่งความหวาดกังวลออกเป็น 3  ประเภท ได้แก่

(1)  ความวิตกกังวลต่อสิ่งที่เป็นจริง (Reality Anxiety)   ได้แก่ ความหวาดกลัวอันตรายจากสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่อยู่รอบตัวเรา เป็นต้นกำเนิดของ  Neurotic Anxiety และ Moral Anxiety เป็นความกังวลที่เกิดข้ึนกับมนุษย์เราเป็นส่วนใหญ่ เช่น กลัวงูมีพิษ คนถือปืน เป็นต้น

(2)   ความวิตกกังวลแบบโรคประสาท (Neurotic Anxiety) ความวิตกกังวลประเภทนี้ถูกกระตุ้นโดยภาพของความตื่นกลัวจากสัญชาตญาณ (Id)   ได้แก่ ความหวาดกลัวตัวเองว่า ตนจะไม่สามารถคุมสัญชาตญาณได้ จะทำสิ่งที่น่าอับอายขายหน้า จะถูกประจาน ประณาม และถูกลงโทษ

(3)    ความวิตกกังวลเชิงศีสธรรม (Moral Anxiety)  เนื่องมาจากคุณธรรมที่มาจากภายใน (Super Ego) ได้แก่  ความหวาดกลัวที่เกิดจากความสำนึกผิดชอบชั่วดี

ความเครียด (Stress)
ความเครียดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ตลอดชีวิตของเรานั้นจะต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกร่างกายตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงทำให้เราต้องมีการปรับตัว การปรับตัวทำให้เราเกิดความเครียดขึ้น และถ้าเราปรับตัวล้มเหลวก็จะทำให้เกิดภาวะอารมณ์วิกฤตขึ้นได้
ความเครียดเพียงเล็กน้อยเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน เพราะมีส่วนช่วยกระตุ้นร่างกายและจิตใจให้มีปฏิกิริยาสนองตอบ และผลของการกระตุ้นนี้เองทำให้มนุษย์มีการปรับตัวทั้งด้านร่างกายและจิตใจ การปรับตัวทางด้านร่างกายทำให้มีแรงต้านทานโรค ส่วนทางจิตใจทำให้มีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น มีความสามารถและทักษะการแก้ปัญหาชีวิตได้ดีขึ้น ความเครียดที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องและมีอยู่ในระยะเวลานานๆ เท่านั้นที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคทางร่างกายและทางจิต
ความเครียดคือการตอบสนองของบุคคลที่ระบุอย่างชัดแจ้งไม่ได้ต่อสภาวการณ์บางอย่างที่คุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยของชีวิต ซึ่งการสนองตอบนี้มีลักษณะเฉพาะในแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน จะปรากฎให้เห็นในรูปอาการแสดงออกบางอย่าง และเป็นต้นเหตุให้มีการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง ภายในร่างกายของบุคคล ทำให้บุคคลต้องมีการปรับตัวทั้งด้านร่างกายและจิตใจ สภาวการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดในคนหนึ่งไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกับอีกคนหนึ่ง สภาวการณ์อย่างเดียวกัน อาจทำให้คนหนึ่งเครียดคนหนึ่งไม่เครียด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และการรับรู้ของบุคคล และขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายๆ อย่าง เป็นต้นว่า วันเวลา การรับรู้ ความเข้มแข็งของบุคคล ระบบประคับประคองภายในบุคคล และที่ได้รับจากบุคคลภายนอก สมาชิกในครอบครัว เพื่อน องค์กรต่างๆ ในชุมชน เป็นต้น (สุวนีย์ กิ่งแก้ว . 2554 : 84)

สาเหตุของความเครียด
ความเครียดเกิดขึ้นได้จากหลายๆ สาเหตุ จำแนกได้เป็นสองสาเหตุคือ

1. สาเหตุจากภายนอกตัวบุคคล มีหลายสาเหตุที่เกิดขึ้นในกระบวนการดำเนินชีวิต
1.1 สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่สิ่งของรอบตัวเราที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าอยู่เป็นประจำ เช่น อากาศร้อนไป หนาวไป ทำให้ร่างกายไม่สุขสบาย หากต้องอยู่ในภาวะเหล่านี้ เราจะรู้สึกไม่สบาย ปวดศรีษะ และอารมณ์เสียได้ง่าย นั่นเป็นเพราะว่าเรากำลังอยู่ในอารมณ์เครียด หรือการขาดแคลนปัจจัยสำหรับการดำรงชีวิต เช่นอาหาร น้ำ เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค  ก็เป็นสาเหตุของความเครียดได้
1.2 สังคมและสัมพันธภาพกับคนอื่น การมีความสัมพันธ์กับคนในสังคมอาจทำให้เกิดความเครียดได้ เช่นการไม่ปรองดองกันของบุคคลในครอบครัว ทำให้เกิดความเครียดทางใจ สภาพความเป็นอยู่ที่แอดอัดทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่นการเสียดสี แก่งแย่ง ทะเลาะวิวาท หรือแม้กระทั่งการขาดเพื่อน ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวก็ทำให้เกิดความเครียซึ่งถือว่ามีสาเหตุจากสังคมได้เช่นกัน
1.3 สภาวการณ์และเหตุการณ์อื่น ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ทำให้บุคคลต้องมีการปรับตัว สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทดังนี้
1.3.1 สภาวการณ์ที่ก่อให้เกิดความชื่นชมยินดี เช่น การแต่งงาน การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร เป็นต้น
1.3.2 สภาวการณ์ที่ก่อให้เกิดควารันทดใจ เช่น การหย่าร้างของคู่สมรส สมาชิกในครอบครัวเจ็บป่วย เป็นต้น

2. สาเหตุจากภายในตัวบุคคล ซึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียดแบ่งได้ 3 ประเภทได้แก่
2.1 โครงสร้างของร่างกายและสภาวะทางสรีรวิทยา เป็นส่วนที่ได้การถ่ายทอดจากบรรพบุรษ บางคนมีโครงสร้างร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ทำให้ร่างกายเติบโตได้ไม่เต็มที่ ทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย
2.2 ระดับพัฒนาการ ร่างกายที่มีพัฒนาการไม่ปกติ เนื่องจากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จึงทำให้เติบโตช้ากว่าปกติ
2.3 การรับรู้และการแปลเหตุการณ์ เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์ กลัว โกรธ กังวัล หรือตื่นเต้น จะทำให้ร่างกายถูกกระตุ้นและมีการตอบสนองทางด้านสรีรวิทยา การรับรู้จึงเป็นตัวสำคัญในการที่จะทำให้บุคคลสนองต่อเหตุกาณณ์ไปในทางที่ดีหรือในทางที่เลวร้ายได้ เหตุการณ์อย่างหนึ่งทำให้คนสองคนรับรู้ได้ไม่เหมือนกัน และมีการสนองตอบต่อเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน การรับรู้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตเดิม เหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นและท้าทายสำหรับคนหนึ่ง อาจจะทำให้อีกคนรู้สึก กลัว กังวล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และโครงสร้างบุคคลิกภาพที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ของบุคคลนั้น ๆ (สุวนีย์ กิ่งแก้ว . 2554 : 85-87)

ปัจจัยอื่นที่เป็นสาเหตุแห่งความเครียด (Pasquali, 1988 อ้างใน สุวนีย์ กิ่งแก้ว . 2554 : 87)
1. สิ่งที่คุกคามต่อภาพพจน์ของบุคคล เช่นการผ่าตัดที่ทำให้บุคคลต้องสูญเสียอวัยวะสำคัญ หรือให้สูญเสียเอกลักษณ์ทางเพศ ความเจ็บป่วยที่ทำให้ร่างกายมีความพิการหลงเหลืออยู่เป็นต้น

2. ความเจ็บปวด เป็นประสบการส่วนบุคคลที่คนอื่นไม่อาจจะบอกได้ว่าปวดเจ็บมากน้อยแค่ไหน เป็นความเจ็บปวดที่ทำให้เราไม่สุขสบาย

3. การเคลื่อนไหวไม่ได้ อันเนื่องมาจากการถูกจำกัดการเคลื่อนไหว เนื่องจากโรคที่เป็นอยู่

4. การสูญเสียและการเปลี่ยนแปลง การสูญเสียบุคคลที่รัก ญาติสนิท หรือการเปลี่ยนแปลงของสถานภาพทางสังคมเช่นกลายเป็นบุคคลล้มละลาย เป็นต้น

การสนองตอบต่อความเครียดด้านจิตใจ
เมื่อเกิดความเครียด จิตใจของเรามักจะมีการกระทำที่เป็นการปกป้องตัวเองให้พ้นภาวะความไม่สุขสบายอันเนื่องมาจากความเครียด และจะหาวิธีในการลดและขจัดภาวการณ์ที่ก่อนให้เกิดความเครียดนั้น กลำหการทำงานของจิตใจในการปกป้องตนเอง (defense mechanism) หรือ Coping พฤติกรรมของจิตใจในกระบวนการปรับสมดุลทางอารมณ์ หรือกลวิธีทางด้านจิตใจที่บุคคลใช้เพื่อแก้ไขสภาวะที่ถูกคุกคามต่อเสถียรภาพทางด้านจิตใจ เพื่อลดความกดดันทางจิตใจ อารมณ์ โดยทั่วไปการสนองตอบทางด้านจิตใจอาจแยกเป็น 3 ประเภทคือ

1. การหนีและเลี่ยง (Flight) คนส่วนใหญ่บางคนหนีและเลี่ยงภาวะความเครียดโดยการปฏิเสธ (Denial) ปฏิเสธว่าตัวเองเครียด ตัวเองกำลังมีปัญหาที่แก้ไม่ตก บางคนหนีและเลี่ยงด้วยการใช้สุรา บางคนใช้ยาหรือสารเสพติดเพื่อประคับประคองจิตใจ บางคนเลี่ยงด้วยการย้ายที่อยู่ใหม่ นอนหลับ หรือสร้างวิมานในอากาศ

2. การยอมรับพร้อมทั้งเผชิญกับภาวะความเครียด (Flight) มีอยู่ได้ 2 ลักษณะคือ การต่อสู้เพื่อหาหนทางแก้ไขภาวะที่ก่อให้เกิดความเครียด หรือแก้ไขตัวเองเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อลดความเครียดนั้น

3. เรียนรู้ที่จะอยู่กับภาวะเครียด (Coexistence) ในยามที่เราไม่สามารถจะหนีจากภาวะความเครียดหรือไม่สามารถแก้ไขภาวะความเครียด เราต้องใช้วิธีการใหม่ คือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเครียด การปรับเปลี่ยนตนเองโดยใช้กลำกทางจิตต่างๆ  หรือใช้กลวิธีอื่น ๆ เช่น การทำสมาธิ การวิปัสนา การแสวงหาคนช่วยเหลือเพื่อประคับประคองจิตใจอารมณ์ เป็นต้น (สุวนีย์ กิ่งแก้ว . 2554 : 89-91) ซึ่งฟรอยด์อธิบายว่า มนุษย์ไม่สามารถหลบหลีกความกังวลและความเครียดที่เกิดจาก
- กระบวนการเป็นไปทางกาย
- ความคับข้องใจ  (Frustrations)
- ความยัดแย้ง  (Conflicts)
- ความกระทบกระเทือนขวัญ  (Threats)

ภาวะเหล่านี้บีบคั้นจิตใจ มนุษย์ไม่พึงปรารถนาจึงพยายามหาทางผ่อนคลาย ดังนั้น Ego จึงแสวงหาวิธีลดภาวะไม่พึงปรารถนาเหล่านี้โดยวิธีการที่เรียกว่า กลวิธานป้องกันตัว”  Anna Freud จึงใช้แนวคิดทฤษฎีจิตวิเคราะห์พัฒนาแนวคิดเรื่องกลไกทางจิตใจ (Mechanism of defense) ซึ่งเป็นกระบวนการปกป้อง Ego ให้พ้นภาวะความหวาดกังวล (Anxiety)

ฟรอยด์เชื่อว่าผู้ป่วยทุกคนไม่ว่าจะตื่นตัวหรือเต็มใจที่จะรับการรักษามากน้อยเพียงใดก็ตาม จะมีการต่อต้านการถูกวิเคราะห์ ทั้งนี้เพราะความกลัวที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใต้สำนึก การต่อต้านนี้จะมีการแสดงออกหลายรูปแบบ เป็นต้นว่าอาจจะอยู่ในรูปแบบของการพูดตลก ปกปิดเรื่องราว ปฏิเสธไม่ยอมพูด ไม่ยอมรับรู้เรื่องราว ไม่มาตามนัด หยุดพูดอย่างฉับพลัน การต่อต้านเกิดขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงและเพื่อปกป้องตนเองให้พ้นภาวะวิตกกังวล หรือเพื่อประโยชน์บางประการ

กลไกการปกป้องตนเอง (Defence Machanism) กลไกทางจิตซึ่งช่วยปกป้องจิตใจให้พ้นจากความคิด ความรู้สึกและการกระทำที่ตนเองยอมรับไม่ได้ เป็นกลวิธีในการที่คนเราจะปรับต้วอยู่กับภาวะความคับข้องใจ ภาวะไม่สมหวัง และภาวการณ์ที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน ฟรอยด์กล่าวว่า กลไกการปกป้องตนเองนี้สามารถทำให้ผู้รักษาสามารถวิเคราะห์และทำความเข้าใจจิตใจส่วนไร้สำนึกและภาวการณ์ต่างๆ ที่รบกวนสมดุลทางด้านจิตใจของผู้ป่วย และสุดท้ายกลไกการปกป้องตนเองเป็นสิ่งบ่งบอกภาวะการต่อต้านของผู้ป่วยได้ การทำความเข้าใจกลไกของการปกป้องตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้รักษาโดยหระบวนการการทำจิตวิเคราะห์ เพราะการเจาะวิเคราะห์ ความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของผู้ป่วย ส่วนหนึ่งต้องอาศัยการวิเคราะห์กลไกการปกป้องตนเอง (สุวนีย์ กิ่งแก้ว . 2554 : 294-295) (Elton B.McNeil , Zick Rubin..  1981: 300-302)


สรุปได้ว่า
          การอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ตามหลักวิชาจิตวิทยานั้น   จึงมีความเป็นทั้งศิลป์และศาสตร์ เพราะนักจิตวิทยาถือว่า   "พฤติกรรมหรือการกระทำทุกอย่างจะต้องมีสาเหตุ และทุกพฤติกรรมที่เกิดขึ้นล้วมีความหมายไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ แต่จะมีจิตใจส่วนหนึ่งดำเนินการและสั่งการ" เราจึงต้องมาค้นหาดูว่าอะไรเป็นสาเหตุ และทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น บางครั้งความหมายที่แฝงอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมบางพฤติกรรมอาจมีสาเหตุมาจากประสบกการณ์ชีวิตในวัยต้น ดังนั้นผู้ที่ยึดแนวความคิดทฤษฎีจิตวิเคราะห์ในการรักษาผู้มีพฤติกรรมแปรปรวนจะไม่ปล่อยให้ปรากฎการณ์ทางจิตใจที่เรียกว่า Mental phenomena ให้ผ่านไปโดยไร้ความหมาย และจะคิดว่าเป็นเพียงเหตุบังเอิญไม่ได้ แต่จะต้องค้นหาดูว่าอะไรเป็นสาเหตุและทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น

          การศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์  จึงประกอบด้วยกระบวนการ ขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ มีการตั้งปัญหาที่จะศึกษาสาเหตุนั้นขึ้น  มีข้อสมมติฐานคาดคะเนถึงคำตอบของปัญหา   รวบรวมข้อมูลเพื่อสนับสนุนข้อสมมติฐาน นำข้อมูลที่หามาได้มาทำการทดลองและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจะนาไปสู่การประเมินและสรุปผลที่ได้จากการศึกษานั้น   และขั้นตอนสุดท้ายคือนำผลที่ได้จากการศึกษานั้นมาอธิบายพฤติกรรมว่าเกิดจากสาเหตุใด  แล้วนำผลนั้นไปประยุกต์ใช้เพื่อจะแก้ปัญหาต่อไป อันเป็นจุดมุ่งหมายของจิตวทยาคือเพื่อความเข้าใจ(Understanding)   การทำนาย (Predivtion)  และการควบคุม (Control)  พฤติกรรมมนุษย์ในสถานการณ์ต่าง ๆ


เอกสารอ้างอิง
Elton B.McNeil  , Zick Rubin.  1981 .The psychology of being human , Third edition . Harper & Row , Publishers,  New York

กิติกร มีทรัพย์.  (2554) . พื้นฐานทฤษฎีจิตวิเคราะห์.  พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สมิตร

สุวนีย์ เกี่ยวกิ่งแก้ว .  (2554) .  การพยาบาลจิตเวช. พิมพ์ครั้งที่ 2 .กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

พระมหาศุภวัฒน์ ชุติมฺนโต (สุขดำ). (2548).  การศึกษาเปรียบเทียบแนวความคิดเรื่อง พฤติกรรมของมนุษย์ในทรรศนะของพุทธปรัชญาเถรวาทกับ ซิกมันด์ ฟรอยด์.  ปรัญญาพุทธศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาปรัชญา บัณฑิตวิทยาลัย. กรุงเทพฯ.  มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย